บทความจากอินโด: ฟุตบอลไทยอยู่ในระดับที่แตกต่างออกไป
5 ครั้งในฐานะแชมป์ AFF Cup, ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าจะครองความเป็นเจ้าอาเซียน, แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักในระดับเอเชียและระดับโลก จากจุดนั้นเองทำให้เราทราบว่าฟุตบอลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงห่างไกลเมื่อเทียบกับที่ภูมิภาคอื่นๆ แต่ว่าพวกเขาค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ แต่แน่นอน โดยรูปเกมของพวกเขาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ทีมไทยไม่ได้อยู่ในระดับที่ต้องมาชิงแชมป์อาเซียนอีกต่อไป แต่ยังคงก้าวต่อไป คำถามคือ “ทำไมถึงยังเข้าร่วมรายการ AFF Cup?” – ก็คงจะเหมือนกับออสเตรเลียที่เข้าร่วมแข่งขันกับ AFC ในปี 2006 และ AFF ในปี 2013, แต่ไม่เคยต้องการเข้าร่วมแข่งขันกับทีมชุดใหญ่ของ AFF Cup เลย
ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 มีเพียงแค่ไทย (และออสเตรเลีย) เท่านั้นที่เป็นตัวแทนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแข่งขันในรอบคัดเลือกรอบที่ 3 โซนเอเชีย, แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในอันดับสุดท้ายของกลุ่ม B ก็ตาม แต่ในช่วงต้นปี 2019 ทีมไทยก็ยังคงเป็นตัวแทนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการแข่งขันเอเชียน คัพ ร่วมกับทีมชาติออสเตรเลีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดเกี่ยวระดับที่แตกต่างของฟุตบอลไทยกับทีมอื่นๆ ในอาเซียน ก็คือ พวกเขาไม่สามารถส่งผู้เล่นชุดที่แข็งแกร่งที่สุดมาแข่งขันในรายการ AFF Cup 2018 ได้ โดยทีมช้างศึกจะไม่มีผู้เล่นตัวหลักอย่างธีรศิลป์ แดงดา (ซานเฟรซเซ ฮิโรชิมา), ชนาธิป สรงกระสินธ์ (คอนซาโดเล ซับโปโร), ธีราธร บุญมาทัน (วิสเซล โกเบ) และกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (โอเอช ลูเวิน)
ผู้เล่นไทยทั้ง 4 คนตอนนี้กำลังค้าแข้งอยู่นอกอาเซียน พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มาเล่นทีมชาติเพราะว่า – แม้ว่ารายการนี้จะอยู่ในสถานะนัดอุ่นเครื่องระดับ A-Match ของฟีฟ่า – แต่ว่ารายการ AFF Cup ไม่ได้อยู่ในปฏิทินของฟีฟ่าเดย์
ถ้าคุณอยากได้รายชื่อเพิ่ม, ก็ยังมี เชาวัฒน์ วีระชาติ (เซเรโซ โอซาก้า) และ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ (เอฟซี โตเกียว) อีก ซึ่งก็อยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับนักเตะ 4 คนที่กล่าวมาข้างต้น, แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เล่นอยู่ในทีมชาติไทยชุดใหญ่ก็ตามที นอกจากนี้, เฮดโค้ชทีมชาติไทย, มิโลวาน ยาเรวัช ก็ยังเห็นด้วยถ้านักเตะตัวหลักจะไม่ได้ร่วมป้องกันแชมป์รายการ AFF Cup2018
“นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ สำหรับทีมชาติเพราะว่าพวกเขา (ธีรศิลป์, ชนาธิป, ธีราธร และกวินทร์) จะได้ประสบการณ์ที่มากขึ้นในระดับที่แตกต่างของความเป็นมืออาชีพและในทุกๆ ด้านของฟุตบอล” ราเยวัชกล่าวกับเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ AFF
– ข้อกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนโค้ช
ราเยวัชได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโค้ชทีมชาติไทยในเดือนเมษายน 2017 แทนที่ตำนานอย่างเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โดยก่อนหน้านี้เขาเป็นโค้ชให้กับทีมอัล อาลี (เจดด้า), กาตาร์, อัลจีเรีย, และพากาน่าเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 “สำหรับผู้เล่นเหล่านี้, รายการนี้ควรจะเป็นงานที่ง่ายเพราะว่าพวกเขาครองความเป็นเจ้าในระดับนี้อยู่แล้ว” ราเยวัชกล่าวต่อ
“เสียดายที่พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมในรายการ AFF Cup, แต่แน่นอนว่าเรายังมีผู้เล่นที่มีความสามารถอีกมากมายที่นี่ที่เราสามารถพึ่งพาได้”
“เรามีเวลาในการเตรียมตัวแข่งขันในรายการนี้ และเป็นโชคดีของเรา ที่เราจะมีผู้เล่นที่ค้าแข้งในต่างประเทศสำหรับรายการที่สำคัญที่สุดอย่างเอเชียนคัพ” โค้ชชาวเซอร์เบียกล่าว หากกล่าวเช่นนี้ก็แสดงว่ารายการ AFF Cup นั้นก็คงไม่สำคัญเท่าไหร่นัก
ในยุคของราเยวัช, ทีมไทยแข่งไป 14 นัดโดยเริ่มจากนัดกระชับมิตร, ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก, และคิงส์ คัพ พวกเขาชนะไป 5 นัด, เสมอ 3 นัด และแพ้ 6 นัด แม้ว่าจะแพ้หลายนัด, แต่ทีมไทยเล่นกับทีมที่อยู่ในระดับสูงกว่าอย่างเช่น เกาหลีเหนือ (ชนะ3-0), อิรัก (แพ้ 1-2), ออสเตรเลีย (แพ้ 1-2), เคนย่า (ชนะ1-0) และสโลวาเกีย (แพ้ 2-3)
“นี่คือการทดสอบที่เราต้องการก่อนที่จะถึงสองรายการสำคัญ (AFF Cup และเอเชียน คัพ) มีทั้งนัดที่ไปเยือนด้วย, มันเป็นสิ่งสำคัญเพราะว่าเราจะต้องไปเยือน 2-3 นัดในรายการ AFF Cup และเราต้องการเห็นว่าสภาพจิตใจของผู้เล่นว่าเป็นอย่างไรเมื่อออกนอกบ้าน” ราเยวัชกล่าว
เมื่อได้ต่อสู้กับทีมที่แข็งแกร่ง, ทีมไทยก็ได้ฝึกฝนอย่างมากทั้งเรื่องของรายละเอียดและความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ต้องเอาตัวรอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะเป็นที่น่าหวั่นเกรงของคู่ต่อสู้กลุ่ม B เพราะว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาถือว่าอ่อนกว่าเมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้ที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้านี้
แม้กระนั้นเขาก็ไม่จำเป็นเปิดเกมรุกโดยไม่ระวัง ตามที่เขากล่าว การเปลี่ยนเกมมีความสำคัญกว่าการครองบอล “การเปลี่ยนจากรุกมาเป็บรับและจากรับมาเป็นรุกคือกุญแจสำคัญ, คุณจะเห็นได้ว่าการครองบอลนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญมากนัก” เขากล่าว
“มีหลายปัจจัยที่คุณจะพิจารณาว่าคุณจะใช้กลยุทธ์การโจมตีหรือกลยุทธ์การป้องกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเล่นกันเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ, รุกพร้อมกัน, รับพร้อมกัน และเปลี่ยนเกมให้เร็วที่สุด”
– มีผู้เล่นคนสำคัญหลายคน, หนึ่งในนั้นคือ “ฐิติพันธ์”
แม้ว่าจะไม่ใช่ชุดที่แข็งแกร่งที่สุด, แต่ทีมไทยก็ยังคงแข็งแกร่ง การขาดหายไปของกวินทร์ ก็ยังมีตัวแทนอย่างศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ผู้รักษาประตูทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขากับเพื่อนร่วมทีมร่วมกันคว้าแชมป์ไทยลีกในปีนี้โดยเสียประตูไปแค่ 25 ประตูเท่านั้น และกรกฎ วิริยะอุดมก็จะมาแทนที่ธีราธร บุญมาทันในตำแหน่งวิงแบ็ค ซึ่งเขาก็อยู่ทีมบุรีรัมย์เหมือนกับศิวรักษ์ กรกฏถือเป็นผู้เล่นที่อันตรายเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์บอลตาย
ส่วนกองหน้า, การขาดหายไปของธีรศิลป์ แดงดาก็ไม่เป็นปัญหามากนักเพราะว่าช้างศึกยังมีอดิศักดิ์ ไกรสร ผู้เล่นทีมเมืองทอง ยูไนเต็ดที่ทำไป 8 ประตูใน 27 นัดให้กับทีมชาติไทย ร่วมกับชนานันท์ ป้อมบุปผา ผู้เล่นในแนวรุกของไทยก็ยังถือว่าอันตราย
ในขณะที่เครื่องจักรในแดนกลาง, “ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์” ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถแทนที่ ชนาธิป ได้เท่านั้น แต่ก็จะกลายเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมในรายการ AFF Cup 2018 อีกด้วย
แม้ว่าเขาจะถูกผลักไสให้ไปอยู่กับทีมบางกอก กล๊าส แต่ฐิติพันต์ก็ถือว่าเป็นกองกลางห้องเครื่องที่หาตำแหน่งในการทำประตูได้ดีและสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม จนถึงปัจจุบันเขาทำไปแล้ว 5 ประตูให้กับทีมชาติไทย
ดูจากผู้เล่นที่ราเยวัชนำมาใช้ในรายการ AFF Cup แล้ว มี 5 คนที่มาจากบุรีรัมย์ แชมป์ไทยลีก นั่นเป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าความคิดแห่งชัยชนะจะถูกส่งต่อมายังทีมชาติด้วย, แตกต่างจากอินโดนีเซีย, ยกตัวอย่างเช่น, การเรียกตัวผู้เล่นมีอย่างจำกัด (ทางอ้อม) เพราะว่าลีก1 ของอินโดนีเซียยังคงมีแข่งขันคู่ขนานไปกับรายการ AFF Cup ในขณะที่ไทยลีกนั้นจบไปตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2018 แล้ว
– เอเชียน คัพสำคัญกว่าAFF Cup
มีอยู่ 2 ประเด็นหลักที่เราจะมองทีมไทย ประเด็นแรก, ไทยคือเจ้าแห่งอาเซียน; พวกเขาต้องเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์อยู่แล้ว ประเด็นที่ 2 เพราะว่าเป็นงานที่ค่อนข้างง่ายสำหรับพวกเขาไปแล้ว – บวกกับการขาดผู้เล่นตัวหลักหลายคนและต้องเตรียมตัวเพื่อแข่งขันในรายการเอเชียน คัพ 2019 – และพวกเขาจะเล่นอย่างจริงจังหรือไม่?
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีธีรศิลป์, ชนาธิป, ธีราธรและกวินทร์ แต่พวกเขาก็ยังคงแข็งแกร่ง; ปัญหาก็คือการโฟกัสของทีมไทยจะถูกแบ่งไปให้รายการเอเชียน คัพ 2019 ด้วย ซึ่งรายการเอเชียน ค้พ ก็ควรจะสำคัญกว่ารายการ AFF Cup อยู่มาก โดยพวกเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกับ ติมอร์ เลสเต (9/11), อินโดนีเซีย (17/11) ฟิลิปปินส์ (21/11), และสิงคโปร์ (25/11) นี่น่าจะเป็นรายการ AFF Cup ที่ยากที่สุดสำหรับทีมไทย
แล้วอินเดีย, บาห์เรน, เจ้าภาพยูเออีละกับรายการเอเชีย 2019 ที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าผลการแข่งขันรายการ AFF Cup ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร … พวกเราจะต้องตระหนักถึงระดับฟุตบอลของอินโดนีเซียที่อาจจะตามหลังไทยไปไกลแล้ว
Source: panditfootball.com
เข้าสู่หน้าหลัก >>>kwamkidhen.com
ไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ อย่าลืมกดไลค์ด้วยนะจ๊ะ ^^
พูดคุยกับเจ้ เมาท์มอยวงการกีฬาติดตามได้ในเพจนี้นะจ๊ะ